วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2558

ผู้หญิงที่ดีและมีคุณค่า .... (ในทรรศนะอิสลาม) How to become a good muslim girl !

ผู้หญิงที่ดีและมีคุณค่า .... (ในทรรศนะอิสลาม)
How to become a good muslim girl !

ทำอย่างไร ถึงจะเป็น “มุสลิมะฮฺ” ที่สมบูรณ์แบบ


“แท้จริง บรรดาผู้นอบน้อมชายและหญิง บรรดาผู้ศรัทธาชายและหญิง บรรดาผู้ภักดีชายและหญิง บรรดาผู้สัตย์จริงชายและหญิง บรรดาผู้อดทนชายและหญิง บรรดาผู้ถ่อมตัวชายและหญิง บรรดาผู้บริจาคทานชายและหญิงบรรดาผู้ถือศีลอดชายและหญิง บรรดาผู้รักษาอวัยวะเพศของพวกเขาที่เป็นชายและหญิง บรรดาผู้รำลึกถึงอัลลอฮฺอย่างมากที่เป็นชายและหญิงนั้น อัลลอฮฺได้ทรงเตรียมไว้สำหรับพวกเขาแล้วซึ่งการอภัยโทษและรางวัลอันยิ่งใหญ่ (33:35)
หากท่านเป็นสตรีมุสลิมที่กำลังรู้สึกว่า กำลังละเลยหน้าที่ด้านศาสนา ถึงเวลานี้ ก็คงไม่สายเกินไปที่ท่านจะย้อนกลับมาดูตัวเองอีกครั้ง โดยไม่ต้องคำนึงถึงอายุ หรือสิ่งที่ท่านเคยทำมาในอดีต
1.ตระหนักเสมอว่า ท้ายที่สุดแล้ว ทุกๆ สิ่งอย่างที่เกิดขึ้น (หรือที่ประสบกับท่าน) จะต้องเป็นไปด้วยดี อัลลออฮฺทรงให้อภัยต่อบาปเล็กๆ ทั้งหลาย ด้วยเพราะว่าพระองค์คือผู้ที่ทรงรู้แจ้ง ทรงเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง และพระองค์เป็นผู้ทรงให้อภัยเสมอ  แม้ว่าท่านจะรู้สึกว่าตัวท่านเองนั้นจมอยู่ในบาปจนถอนตัวไม่ได้และไม่สามารถ ที่จะกลับมาเป็นมุสลิมที่ดีได้ก็ตาม แต่แท้จริงแล้ว “มิใช่เช่นนั้น”
2.ค้นหา “สาเหตุ” ที่เป็นตัวล่อลวงท่านให้หันหลังต่อศาสนา โดยการที่ท่านอาจจะลองประเมินจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในครอบครัว หรือในกลุ่มเพื่อนฝูงซึ่งอาจเป็น “ต้นเหตุ” ที่นำท่านไปสู่หนทางที่ผิด หากเป็นเช่นนั้น ท่านจำต้องเลิกติดต่อกับเพื่อนกลุ่มนั้น เพราะท้ายที่สุด ในวันแห่งการตัดสิน “พวกเขาเหล่านั้น” ย่อมไม่ได้ยืนอยู่เคียงข้างท่าน เมื่อท่านต้องเผชิญหน้าต่ออัลลอฮฺ ตะอาลา เพียงลำพัง และหากว่า “ต้นเหตุ” นั้นเกิดจาก “ครอบครัวของท่าน” มันก็อาจจะเป็นการยากมากขึ้นสำหรับท่านในการที่จะแก้ไข แต่หากว่าท่านสามารถผ่านพ้น “ปัญหา” นี้ไปได้ แน่นอนว่า ท่านก็จะประสบกับความง่ายดายในภายหลัง
3.หากว่าท่านยืนหยัดและมุ่งมั่นที่จะกลับตัวกลับใจและพยายามที่จะเป็นมุ สลิมะฮฺที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่ท่านจะทำได้แล้ว ท่านควรที่จะพิจารณาถึง “การสวมใส่ฮิญาบ หรือ บัรฺกอฺ” ของท่าน “ฮิญาบ” นั้นมิได้เป็นเพียงแ่ค่ “ผ้าผืนหนึ่งที่ปกคลุมเส้นผม” หากแต่เป็น “อาภรณ์” ที่ช่วยเปลี่ยนแปลงท่านทั้งทางด้านจิตใจและจิตวิญญาณ จงระลึกเสมอว่า “อาภรณ์ผึนนี้” เป็นเครื่องปกป้องคุ้มครองที่อัลลอฮฺทรงประทานไว้ให้แก่บรรดาสตรี ตราบใดที่ท่านนั้นสวมใส่ฮิญาบ อินชาอัลลอฮฺ ทัศนคติเกี่ยวการเคารพนับถือตัวเองและการรู้คุณค่าของตัวเองนั้นจะเปลี่ยนไป ในทางที่ดีขึ้น เรามิได้กล่าวว่า “สตรีที่มิได้สวมใส่ฮิญาบ” จะไม่ได้รับการปกป้องหรือไม่ได้รับความรู้ที่เป็นสัจธรรม หากแต่ว่ามันถือเป็นโอกาสที่ดีกว่าสำหรับท่านในการที่จะรับรู้ถึงความรู้สึก ดังกล่าวจากการสวมใส่ฮิญาบ
4.ทำการละหมาดห้าเวลาทุกวัน ก่อนที่ท่านจะเริ่มทำการละหมาดนั้น ท่านควรจะศึกษาถึงความหมายของคำอ่านในละหมาด ซูเราะฮฺที่จะละหมาด เสียก่อน หากว่าภาษาอาหรับนั้นไม่ใช่ภาษาแม่ของท่าน ก็ลองหาคำแปลของบทละหมาดนั้นๆ และใช้เวลาในการอ่านและทำความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายของมัน จากนั้นท่านก็เริ่มทำให้การละหมาดให้เป็นกลายส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิต ประจำวันของท่าน
5.อ่านอัลกุรอาน เช่นเดียวกัน ท่านสามารถอ่านเป็นคำแปลภาษาไทย หากว่าท่านยังไม่คล่องในภาษาอาหรับ การอ่านอัลกุรอานจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีงามระหว่างท่านกับอัลลอฮฺ อีกทั้งยังทำให้ท่านนั้นตระหนักและซาบซึ้งถึงความงดงามแห่งอิสลามอีกด้วย
6.แต่งกายเรียบร้อย ซึ่งมิได้หมายความว่าท่านจะต้องทำให้ตัวท่านดูน่าเกลียดหรือดูล้าสมัย หากเพียงแต่ต้องยึดถือ “ความเรียบร้อย” เป็นหลัก ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยเปลี่ยนแปลงทัศนคติทั้งหลายของท่านเกี่ยวกับสิ่งที่ได้รับ การอนุมัติและสิ่งที่ไม่ได้รับการอนุมัติ (หะลาล และหะรอม)
7.พบปะสมาคมกับเพื่อนที่ดี ด้วยการหาหัวข้อในการสนทนา เพราะท่านอาจต้องการหาเพื่อนสักคนที่ท่านสามารถแบ่งปันความคิด ทัศนคติเกี่ยวกับ “การเป็นมุสลิมะฮฺที่ดี”
8.หลีกเลี่ยงแรงจูงใจด้านลบ รวมไปถึงการคบกับเพื่อนเก่า (มันอาจจะยากสักหน่อย หากแต่ว่ารางวัลตอบแทนที่จะได้รับนั้นมันคุ้มค่ามากกว่า) เพื่อนเก่าที่ว่านี้ คือบรรดาผู้ที่มีอิทธิพลไปในทางที่เลวร้ายต่อตัวท่าน หรือเป็นผู้ที่มักชักจูงท่านให้แสดงพฤติกรรมด้านลบออกมา เราทุกคนต่างมีชัยฎอน (ความชั่ว) อยู่ในตัวเรา หากแต่ ในฐานะ “มุสลิม” มันถือเป็น “ความรับผิดชอบ” ของเราที่จะต้องต่อสู้กับสิ่งล่อลวงใจเหล่านั้นและพยายามหาวิถีทางในการ เพิ่มพูนความศรัทธาและความเชื่อให้มากขึ้น
9.ให้อภัยตัวเองต่อความผิดต่างๆ ที่ผ่านมา ท่านจำต้องปล่อยวางกับความผิดพลาดที่ผ่านมาในอดีตและปรับปรุงแก้ไขสิ่งที่มี อยู่ให้ดียิ่งขึ้นเพื่ออนาคต — สิ่งใดๆ ก็ตามที่เคยเกิดขึ้นมันได้ผ่านไปแล้ว สิ่งเหล่านั้นถือเป็นอดีตและไม่มีอะไรที่ท่านจะสามารถเปลี่ยนแปลง หรือ ทำให้มันดีกว่าที่เคยเป็นได้ สิ่งเดียวที่ท่านสามารถทำได้คือการให้อภัยตัวเองและใช้ประสบการณ์ด้านลบ เหล่านั้นเป็นตัวผลักดันให้ท่านนั้นทำตัวให้ดียิ่งขึ้น
10.พิจารณาว่า “จุดอ่อน” ของท่านนั้นคืออะไร และพยายามหลีกเลี่ยงมัน ยกตัวอย่างเช่น หากท่านเป็นผู้ที่เคยยุ่งเกี่ยวกับการมีความสัมพันธ์ที่ผิดประเวณีก่อนการ แต่งงาน ท่านจำต้องหลีกเลี่ยงการติดต่อสัมพันธ์กับบุรุษเพศ ซึ่งมิได้หมายความว่าท่านจะต้องวิ่งหนีทุกๆ ครั้งที่มีผู้ชายเข้ามาใกล้ท่าน หากแต่ว่าท่านจำต้องคบหาเพื่อนที่เป็นสตรีเพศและหลีกเลี่ยงการคบหาเพื่อน ผู้ชายที่ขาดซึ่งศีลธรรมและไม่ให้เกียรติสตรี เพราะแท้จริงแล้ว พวกเขาเหล่านั้นไม่ใช่ผู้ที่มีความสำคัญต่อชีวิตของท่าน
11.ยึดมั่นต่อ “ความปรารถนาที่จะเป็นมุสลิมะฮฺที่ดี” ให้เป็นหลักเกณฑ์ในการดำเนินชีวิตแต่ละวัน หากท่านทำให้ “สิ่งนี้” เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในหัวใจของท่านว่า ท่านต้องการที่จะเป็นมุสลิมะฮฺที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ท้ายที่สุดแล้วท่านก็จะบรรลุผลสำเร็จดังกล่าวได้โดยไม่ต้องคอยนึกถึงมัน และทุกๆ ครั้งที่ท่านจะทำสิ่งใดก็ตาม ท่านจะตระหนักได้เองว่า “สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดี หรือเป็นสิ่งที่ศาสนาอนุมัติ” “ถ้าศาสนาไม่อนุมัติ ก็อย่าทำเลยดีกว่า”
12.เมื่อใดก็ตามที่ท่านรู้สึกอ่อนแอ ท้อแท้ และไม่มีใครสักคนที่จะพูดคุยด้วย ขอให้ท่านตระหนักอยู่เสมอว่า อัลลอฮฺทรงอยู่กับท่านและ “อัลลอฮฺ” เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่เป็นเป้าหมายของภาระกิจต่างๆ ในชีวิตของเราในโลกดุนยานี้
13.ระลึกเสมอว่า “การที่จะได้มาซึ่งการอภัยโทษจากอัลลอฮฺนั้น มีอยู่สี่ประการ” คือ
1) สำนึกในความผิดและสารภาพผิดต่อหน้าอัลลอฮฺ
2) เสียใจต่อความผิดที่ท่านได้กระทำ
3) ให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่กระทำความผิดซ้ำอีก
4) ขออภัยโทษจากอัลลอฮฺ
 แปล เรียบเรียง بنت الاٍسلام

วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2558

การเเจกแจงข้อตัดสินต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการตกแต่งร่างกายของสตรี

การเเจกแจงข้อตัดสินต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการตกแต่งร่างกายของสตรี
1. สตรีนั้นถูกใช้ให้กระทำสิ่งที่เกี่ยวข้องและเหมาะสมกับนางในประการต่างๆแห่งธรรมชาติ อันได้แก่การตัดเล็บการเอาใจใส่ ทั้งนี้เนื่องจากว่าการตัดเล็บนั้นเป็นแบบอย่าง(ซุนนะฮฺ) โดยการเห็นพ้องของบรรดานักปราชญ์ เพราะเป็นประการแห่งธรรมชาติประการหนึ่งที่ปรากฎอยู่ในฮาดิษ และเนื่องจากการขจัดออกนั้นนำมาซึ่งความสะอาดและความสวยงาม และการคงไว้ในลักษณะที่ยาวนั้นนำมาซึ่งการเสียภาพลักษณ์ และการเปรียบเสมือนเสือสิงห์กระทิงแรด และทำให้เกิดการสะสมของสิ่งสกปรกไว้ และห้ามน้ำไม่ให้เข้าใต้เล็บ และมุสลิมะฮฺบางคนถูกทดสอบด้วยการไว้เล็บยาวๆโดยเป็นการเลียนแบบผู้ปฏิเสธ (กาฟิเราะฮฺ) และความไม่รู้ในแบบอย่าง (ซุนนะฮฺ) และมีแบบอย่างให้สตรีขจัดขนรักแร้ทั้งสองและขนในร่มผ้า เป็นการปฏิบัติตามฮาดิษ ที่ปรากฏในเรื่องดังกล่าว และสิ่งที่มีอยู่จากการทำให้เกิดความสวยงามและที่ดีที่สุดนั้นให้มีการกระทำเช่นนั้นในทุกสัปดาห์ หรือ ไม่ปล่อยให้มันล่วงเลยไปมากกว่าสี่สิบวัน
2. สิ่งที่ถูกใช้และถูกห้ามไม่ให้กระทำในเรื่องผมศีรษะ ขนคิ้วและข้อตัดสินของการอาบชโลมผม และย้อมผมด้วยสี
เชค มุฮัมหมัด อิบนุ อิบรอฮีม อาลุซเซค ผู้ชี้ขาดปัญหาศาสนาของราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย รอฮิมาฮุลลอฮฺ ได้กล่าวไว้ว่า...”ส่วนผมของศีรษะสตรีนั้นโกนออกไม่ได้” ดังฮาดิษที่อิมามนะซาอีย์ได้รายงานไว้ในซุนนะฮ์ของท่านด้วยสายรายงานของท่านจากอาลีรอดิยัลลอฮุอันฮฺ และอิมามอัลบัซซัรในหนังสือมุสนัตของท่านด้วยสายรายงานจากท่านอุสมาน และอิบนุญะรีรได้รายงานไว้ ด้วยสายรายงานของท่านจากอิกริมะฮฺ รอดิยัลลอฮุอันฮุ พวกเขากล่าวว่า :
"(ท่านรอซูล ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ห้ามไม่ให้สตรีโกนผมศีรษะของนางออก) และการห้ามนั้นเมื่อมาจากท่านนบี ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มันก็บ่งบอกว่าทำไม่ได้ (หะรอม) ตราบใดที่ไม่มีสิ่งที่ผันแปร"
เมาลา อากีกอรี ได้กล่าวไว้ในอัลมิรกอฮฺ ซัรฮุลมิซกาฮฺ ว่า
“คำพูดของท่านนบีที่ว่า (ห้ามไม่ให้โกนผมศีรษะของนางออก) นั้นก็เนื่องจากผมส่วนหน้าของสตรีนั้นเปรียบเสมือนเคราสำหรับผู้ชายในลักษณะและความสวยงาม...”
การตัดผมออกนั้นหากว่าเกิดขึ้นเนื่องจากความจำเป็นที่ไม่ใช่การตกแต่งเช่นไม่มีความสามารถที่จะซื้อน้ำยาหรือแชมพูเพื่อรักษา หรือยาวมากและทำให้เกิดความยากลำบาก ก็ไม่มีปัญหาแต่ประการใด ในการที่จะตัดออกเท่าที่มีความต้องการ เหมือนกับที่ภรรยาบางคนของท่านนบี ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม บางคนได้กระทำหลังจากที่ท่านได้จากโลกนี้ไป เนื่องจากพวกนางได้ละทิ้งการตกแต่ง และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไว้ผมยาวอีกต่อไป
แต่ถ้าหากจุดประสงค์ของสตรีในการตัดผม นั้นคือแบบการเลียนแบบพวกผู้หญิงที่ปฏิเสธการศรัทธา (กาฟิเราะฮฺ) หรือผู้หญิงชั่วหรือการเลียนแบบผู้ชาย อันนี้ก็เป็นสิ่งต้องห้าม โดยไม่มีข้อสงสัยใดๆอันเนื่องมาจากการห้ามไม่ให้เลียนแบบผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย และการห้ามไม่ให้เลียนแบบพวกผู้ชาย และหากว่าจุดประสงค์จากการกระทำนั้นเพื่อการตกแต่งตามหลักฐานที่ปรากฏแก่ฉัน แล้วมันเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ ท่านเชคฺ มุฮัมหมัดอะมีน อัชชังกีฏี้ รอฮิมาฮุลลอฮฺ ได้กล่าวไว้ใน อัฏวาอุลบายาน ว่า :
“ แท้จริงประเพณีที่มีการปฏิบัติกันอย่างแพร่หลายในหลายประเทศด้วยการที่สตรีตัดผมศีรษะของนางสั้นจนเกือบติดหนังศีรษะนั้นเป็นแบบอย่างของพวกฝรั่ง ที่ค้านกับสิ่งที่เหล่าบรรดาสตรีของชาวมุสลิมและเหล่าสตรีของชาวอาหรับก่อนอิสลามได้ยึดถือ มันจัดอยู่ในวิถีทางอันนอกลู่นอกทางอย่างหนึ่งในศาสนา กริยา มารยาท ลักษณะ และอื่นๆที่แพร่กระจายไปทั่ว”
 
หลังจากนั้นท่านได้ตอบปัญหาเกี่ยวกับฮาดิษที่ว่า
บรรดาภรรยาของท่านนบี ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมนั้นตัดผมของพวกนางออกจนกระทั่งถึงบริเวณสองติ่งหู ว่าบรรดาภรรยาของท่านนบีนั้น แท้ที่จริงแล้วพวกนางได้ตัดผมของพวกนางให้สั้นหลังจากที่นบีได้จากโลกนี้ไปเพราะว่าพวกนางได้ทำการตกแต่งในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ และการตกแต่งอย่างหนึ่ง ที่สวยงามที่สุดของพวกนางก็คือ ผมของพวกนางส่วนหลังจากที่ท่านได้จากโลกนี้ไปแล้ว สำหรับพวกนางนั้นมีข้อชี้ขาด สำหรับพวกนางโดยที่ไม่มีสตรีคนใดจากเหล่าสตรีของชาวโลกทั้งมวลมามีส่วนร่วมกับพวกนางด้วย ในข้อตัดสินดังกล่าว และนั้นคือ การที่พวกนางนั้นไม่มีความหวังที่จะได้แต่งงานอีกเลย และหมดหวังจากการแต่งงานโดยสิ้นเชิง พวกนางนั้นก็เหมือนพวกสตรีที่มีอิดดะหฺที่ถูกกักไว้ด้วยสาเหตุท่านนบี ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จนกระทั่งนางจากโลกนี้ไป พระองค์อัลลอฮฺได้ทรงตรัสไว้ว่า...

“และไม่มีสิทธิ์สำหรับพวกเจ้าในการที่จะทำร้ายทูตของอัลลอฮฺ และแต่งงานกับบรรดาภรรยาของเขา ภายหลังจากเขาเป็นอันขาด แท้จริงในการนั้น ณ ที่อัลลอฮฺเป็นเรื่องที่ใหญ่หลวงนัก” (ซูเราะหฺ อัลอะหฺซาบ 53)
“และการไม่มีความหวังที่จะได้แต่งงานอีก โดยตลอดนั้น อาจจะเป็นสาเหตุของการอนุญาติให้ทำการละทิ้งการตกแต่งโดยที่ไม่อนุญาติให้ในสาเหตุอื่นจากที่กล่าวมา” (อัฏวาอุลบายาน เล่มที่ 5)
ดังนั้นจึงจำเป็นต่อสตรีที่จะต้องระวังรักษา เอาใจใส่ต่อผมและถักมันให้เป็นหลายเปียด้วยกัน และไม่อนุญาติให้นางม้วนมาไว้บนศีรษะ หรือที่มุมหนึ่งของท้ายทอย
 เชคคุลอิสลามอิบนุไตยมียะฮฺ ได้กล่าวไว้ในมัจมั๊วะฟะตะวาเล่มที่ 22 หน้าที่ 145 ว่า “เหมือนกับที่พวกโสเภณีบางคนถักผมของนางเป็นส่วนเดียว ปล่อยไปอยู่ระหว่างสองไหล่”
เชค มุฮัมหมัดอิบรอฮีม ผู้ชี้ขาดปัญหาศาสนาของประเทศซาอุดิอาระเบีย รอฮิมาฮุลลอฮฺ ได้กล่าวไว้ว่า “ส่วนสิ่งที่สตรีของบรรดามุสลิมบางคนได้กระทำในสมัยนี้เกี่ยวกับการแยกผมศีรษะไว้ด้านหนึ่ง และเอาผมมารวมไว้ที่ท้ายทอยอีกด้านหนึ่งหรือเอามาไว้บนศีรษะ เหมือนที่พวกสตรีฝรั่งทำ และอันนี้ก็เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ เนื่องจากในการกระทำดังกล่าวนั้นเป็นการเลียนแบบสตรีที่เป็นผู้ปฏิเสธ และมีรายงานจากอบูฮุรอยเราะฮฺ รอดิยัลลอฮุอันฮุ ในฮาดิษที่ยาว กล่าวว่า ท่านร่อซูลซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวาซัลลัม ได้กล่าวไว้ว่า ...
(สองพวกของชาวนรก ที่ฉันไม่ได้เห็นพวกเขาทั้งสอง พวกหนึ่งมีแซ่อยู่กับพวกเขาเหมือกับหางวัว พวกเขาใช้ตีผู้คนทั้งหลาย และพวกสตรีที่สวมใส่แต่เปล่าเปลือย เอนไปเอนมา ศีรษะของพวกนางเหมือนกับโหนกอูฐ พวกนางจะไม่ได้เข้าสวรรค์ และดมกลิ่นของมัน ทั้งๆที่กลิ่นของมันนั้นจะดมได้ในระยะทางเท่านั้นเท่านี้) มุสลิมรายงาน
นักปราชญ์บางคนได้ขยายความวจนะของท่านที่ว่า (เอนไปเอนมา) ว่าพวกนางนั้นหวีผมในลักษณะเอน ซึ่งมันเป็นหวีของหญิงโสเภณี พวกนางจะหวีเช่นนั้นให้พวกอื่น และนี่เป็นหวีผมของพวกหญิงฝรั่ง และพวกที่ดำเนินตามพวกนางจากพวกผู้หญิงของบรรดามุสลิม (มัจมั๊วฟาตาวาของ เชคฺ เล่มที่ 2 หน้าที่ 47 และ อัล อีฏอหฺ วัตตับยีน ของเชคฺ หะมู้ด อัต-ตุวัยญีรี หน้าที่ 85)
เช่นเดียวกันสตรีมุสลิมะหฺนั้นถูกห้ามไม่ให้โกนศีรษะ หรือตัดออกโดยไม่มีความจำเป็น นางจะถูกห้ามไม่ให้ต่อผม หรือเอาผมอื่นมาเสริม เนื่องจากมีปรากฏใน ซอเหี้ยหฺ บุคอรี และ มุสลิมว่า...
“ท่านรอซูลลุลลอฮฺ ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้สาปแช่งหญิงที่ต่อผมให้คนอื่น และหญิงที่ขอให้คนอื่นมาต่อผมให้”
อันเนื่องมาจากการกระทำดังกล่าวมีการปลอมแปลงอยู่ และในการต่อผมที่เป็นที่ต้องห้ามนั้น คือ การสวมใส่บารูกะหฺ (ผมปลอม) ที่เป็นที่ทราบกันในสมัยนี้ อิมามบุคอรี มุสลิม และท่านอื่นๆได้รายงานว่า...มุอาวิยะฮฺ รอดิยัลลอฮุอันฮุ ได้กล่าวคำปราศรัย ขณะที่ท่านได้มายังมาดีนะฮฺ และได้เอาผมมาพันหนึ่ง หรือม้วนหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ทำไมพวกสตรีของท่านทั้งหลาย ถึงเอาสิ่งเช่นนี้มาไว้บนศีรษะของพวกนาง ฉันได้ยินท่านรอซูล ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า...
“ไม่มีสตรีคนใดที่เอาผมมาไว้บนศีรษะของนางจากผมของคนอื่น นอกจากมันเป็นการปลอมแปลงเท่านั้น” และคำว่า “บารอกะฮฺ”นั้น คือผมปลอมที่เหมือนผมจริง และการใส่มันนั้นเป็นหลอกลวง
ข. ห้ามสตรีมุสลิมะฮฺ ไม่ให้ขจัดขนคิ้วทั้งหมด หรือบางส่วนออกด้วยวิธีใดก็ตาม อันได้แก่การโกน หรือการตัด หรือการใช้เครื่องมือหรือน้ำยา หรือขจัดทั้งหมดหรือบางส่วนออก เพราะอันนี้คือการถอนที่ท่านนบี ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ผู้ที่ได้กระทำซึ่งก็มีรายงานว่า ท่านนบี ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้สาปแช่งหญิงที่ถอนขนคิ้ว และหญิงที่ให้ผู้อื่นถอนขนคิ้วให้ และอันนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงการสร้างของอัลลอฮฺ ที่ไชตอนพยายามให้ลูกหลานของอาดำกระทำ โดยที่มันได้กล่าวเหมือนกับที่อัลลอฮฺได้ทรงบอกเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้ว่า
“และแน่นอนยิ่งฉันจะใช้พวกเขา แล้วแน่นอนพวกเขาก็จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่พระองค์อัลลอฮฺทรงสร้าง” (ซูเราะหฺ อัลนิซาอฺ 119)
และในซอเหี้ยหฺ มีรายงานจากอิบนิมัสอูด รอดิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า... “อัลลอฮฺได้ทรงสาปแช่งหญิงที่สักและผู้หญิงที่ให้ผู้อื่นสัก ให้พวกผู้หญิงที่ถอนขนคิ้ว และพวกผู้หญิงที่ให้ผู้อื่นถอนขนคิ้วให้ และพวกผู้หญิงที่ให้ผู้อื่นทำฟันให้ เพื่อความสวยงาม ที่เปลี่ยนแปลงการสร้างของอัลลอฮฺ” หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า...
“แล้วฉันจะไม่สาปแช่งผู้ที่รอซูล ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้สาปแช่ง ในขณะที่มันมีอยู่ในคัมภีร์ของอัลลอฮฺอัซซาวาญัล กระนั้นหรือ?” ซึ่งหมายถึงคำตรัสของอัลลอฮฺที่ว่า...
“และอันใดที่รอซูลได้นำมาให้พวกเจ้า พวกเจ้าก็จงรับ และอันใดที่เขาได้ห้ามพวกเจ้าไว้ พวกเจ้าก็จงหยุดยั้งเสีย” (ซูเราะหฺ อัล-ฮัซรฺ 7)
อิบนิกะซีร ได้กล่าวไว้ในหนังสือของท่านเลขที่ 2 หน้าที่ 359 พิมพ์ที่ ดารุล อัลดาลุส
หากสตรีจำนวนมากในทุกวันนี้ได้รับการทดสอบด้วยข้อเสียที่อันตรายนี้ ที่มันเป็นบาปใหญ่อันหนึ่ง จนกระทั่งการถอนขนคิ้วได้กลายเป็นสิ่งจำเป็นประจำวันอย่างหนึ่ง และไม่เป็นที่อนุญาติสำหรับนาง ในการที่จะไปเชื่อฟังสามีของนาง เมื่อเขาใช้ให้นางกระทำการดังกล่าว เพราะว่าอันนั้นเป็นการฝ่าฝืน
ค. ห้ามสตรีมุสลิมะฮฺไม่ให้ทำช่องฟันของนางเพื่อความสวยงาม ด้วยการที่นางเอาตะไบเล็กๆมาถูไถเพื่อให้เกิดช่องฟันเล็กๆ ระหว่างฟัน โดยมีความมุ่งหวังในความสวยงามแต่เมื่อฟันนั้นมีความผิดปรกติ และต้องการให้มันเป็นปรกติ  เพื่อขจัดความผิดปรกตินี้ หรือ หนอนกิน และต้องการให้มีการแก้ไข เพื่อขจัดสิ่งดังกล่าวให้หมดไป อันนั้นก็ไม่เป็นปัญหาอะไร เพราะว่าการกระทำอย่างนี้มันเป็นการแก้ไขและขจัดความผิดปรกติอ  และนั่นจะเกิดขึ้นด้วยการกระทำของแพทย์ที่มีความรู้เฉพาะทาง
ฆ. ห้ามสตรีไม่ให้ทำการสักที่ร่างกายของนาง เพราะว่าท่านนบี ซ็อลลัลลอฮุอาลัยฮิวาซัลลัมนั้นได้สาปแช่งหญิงที่สัก และหญิงที่ให้ผู้อื่นสักให้ และอันนี้เป็นการกระทำที่ถูกห้าม และบาปใหญ่ชนิดหนึ่ง เพราะว่าท่านนบี ซ็อลลัลลอฮุอาลัยฮิวาซัลลัม ได้สาปแช่งผู้ที่กระทำดังกล่าว หรือให้ผู้อื่นกระทำให้ และการสาปแช่งจะไม่เกิดขึ้นนอกจากในสิ่งที่เป็นบาปใหญ่เท่านั้น
ง. ข้อชี้ขาดการอาบสีของสตรี ย้อมผม และการประดับด้วยทองคำ

1. การอาบสี  อิหม่ามนะวะวี ได้กล่าวไว้ใน อัลมัจมั๊วอฺ เล่มที่ 1 หน้าที่ 324 ว่า:  “ ส่วนการอาบสีมือและเท้าทั้งสองด้วยใบเทียนนั้น ก็เป็นสิ่งที่ได้รับการส่งเสริมสำหรับหญิงที่แต่งงานแล้ว เนื่องจากฮาดิษต่างๆที่เป็นที่ทราบกันในเรื่องดังกล่าว... ”.  ท่านชี้ให้เห็นสิ่งที่อบูดาวุด ได้รายงานไว้ว่า ...หญิงคนหนึ่งได้ถามอาอีซฺะฮฺ รอดิยัลลอฮุอันฮา ถึงการอาบสีด้วยใบเทียน นางก็กล่าวว่า  “ ไม่เป็นปัญหาอะไร แต่ทว่าฉันไม่ชอบมัน แล้วแท้ที่จริง ความรักของฉันในตัวท่านร่อซูล ซ็อลลัลลอฮุอาลัยฮิวะซัลลัม และท่านนั้นเกลียดกลิ่นของมัน ”  (อัน-นะซาอี รายงาน)
มีรายงานจากอาอีซฺะฮฺ รอดิยัลลอฮุอันฮา กล่าวว่า... “หญิงคนหนึ่งได้ส่งสัญญานจากหลังม่าน ในขณะที่มีหนังสืออยู่ในมือของนาง ไปยังท่านรอซูล ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แล้วท่านนบีก็ได้ยื่นมือของท่านไปหา และท่านกล่าวว่า “ฉันไม่ทราบว่าเป็นมือของผู้ชาย หรือ ผู้หญิง” นางกล่าวว่าเป็นมือของผู้หญิง และท่านก็กล่าวว่า “หากเธอเป็นผู้หญิง เธอก็จักต้องเปลี่ยนเล็บของเธอ” หมายถึง: การเปลี่ยนด้วยใบเทียน (อบูดาวุด และ อันนะซาอี นำออกรายงาน) แต่ทว่านางจะต้องไม่ย้อมเล็บของนางด้วยสิ่งที่ติดแข็งและทำให้ไม่สามารถทำความสะอาดได้
2. การย้อมผมศีรษะของสตรี หากว่าเป็นผมหงอก นางนั้นก็ควรจะย้อมด้วยสีอื่น ที่ไม่ใช่สีดำ เนื่องจากการห้ามของท่านนบี ซ็อลลัลลอฮุอาลัยฮิวาซัลลัม ไม่ให้ย้อมด้วยสีดำโดยทั่วไป
อิหม่าม นะวะวีย์ ได้กล่าวไว้ใน ริยาฎุซซอลิฮีน หน้าที่ 626 บทว่าด้วยเรื่อง การห้ามผู้ชาย และผู้หญิงไม่ให้อาบสีผมของเขาทั้งสองด้วยสีดำ และได้กล่าวไว้ใน มัจมั๊วอฺ เล่มที่ 1 หน้าที่  324 ว่า...

“และไม่มีความแตกต่างใดๆ ในการห้ามไม่ให้อาบด้วยสีดำ ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง และนี่คือแนวความคิดของเรา” ส่วนการย้อมผมสีดำของสตรีนั้น เพื่อให้มันเปลี่ยนเป็นสีอื่นนั้น สิ่งที่ฉันมีความเห็นก็คือว่าสิ่งนี้ไม่เป็นที่อนุญาติ เพราะว่ามันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำอย่างนั้น เพราะว่าสีดำของผมนั้นมันเป็นความสวยงาม มันไม่ถือเป็นสิ่งผิดปรกติที่จะต้องเปลี่ยนแปลง และอีกอย่าง การกระทำดังกล่าว มันเป็นการเลียนแบบพวกผู้หญิงที่ปฎิเสธ ( กาฟิเราฮฺ )
3. อนุญาตให้สตรีใช้เครื่องประดับที่ทำมาจากทองและเงิน ตามที่มีปฏิบัติกันและอันนี้เป็นสิ่งที่บรรดาผู้รู้เห็นพ้องต้องกัน แต่ทว่าไม่เป็นที่อนุญาติสำหรับนาง ในการที่จะนำเอาสิ่งประดับของนางมาแสดงแก่พวกผู้ชาย ที่ไม่ได้เป็นมะฮฺร็อม หากแต่จำเป็นที่นางจะต้องปกปิดมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่ออกจากบ้านและต้องเผชิญกับการมองของพวกผู้ชาย เพราะว่าการกระทำอย่างนั้น มันเป็นการสร้างความวุ่นวาย และนางนั้นจะถูกห้าม ไม่ให้พวกผู้ชายได้ยินเครื่องประดับของนาง ที่ขาของนางภายใต้เสื้อผ้า ซึ่งพระองค์อัลลอฮฺตะอาลาได้ตรัสไว้ว่า...
“และอย่าได้ให้พวกนางตีเท้าของพวกนาง เพื่อให้มีการรู้ถึงสิ่งที่พวกนางปกปิดไว้จากเครื่องตกแต่งของพวกนาง”. ( ซูเราะฮฺ อันนูร 31)
แล้วจะเป็นเช่นไรเล่าเมื่อมีการกระทำให้ได้ยินเสียงเครื่องประดับที่เปิดเผย
จากหนังสือ "คำเตือนในเรื่องกฎต่างๆที่เกี่ยวข้องกับบรรดาหญิงผู้ศรัทธา"
Source : islammore.com

หญิงมุสลิม รูปภาพหญิงมุสลิมที่สวยๆ ผู้หญิงมุสลิมที่สวยที่สุด

       
>> Hijab Khimar Chador Niqab

วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2558

10 วิธีคลุมฮิญาบแบบใหม่ วิธีคลุมฮิญาบ แสดงด้วยภาพ วิธีการคลุมฮิญาบแฟชั่น

10 วิธีคลุมฮิญาบแบบใหม่ วิธีคลุมฮิญาบ แสดงด้วยภาพ วิธีการคลุมฮิญาบแฟชั่น
การคลุมฮิญาบ มีด้วยกันหลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับรูปหน้าของสตรี โดยการเลือกสีให้เข้ากับชุด และการเลือกแบบที่จะคลุมฮิญาบ ให้เข้ากับงานต่างๆ
1. กาีรคลุมแบบง่ายๆ
2. การคลุมให้ดูทันสมัย
3. การคลุมแบบนี้ ต้องมีผ้าสองชิ้น ซึ่งนิยมมากในต่างประเทศ โดยเฉพาะมุสลิมในยุโรป
4. การคลุมสำหรับออกงาน ซึ่งลักษณะการคลุมจะนิยมในชาติออกเฉียงใต้
5. การคลุมแบบนี้นิยมกันมากใน อินโดนีเซีย โดยจะมีระบายหรือดอกไม้ด้านข้างของฮิญาบ
6. การคลุมแบบนี้เหมาะสำหรับผู้มีใบหน้าค่อนข้างใหญ่ โดยลักษณะการคลุมจะใช้ผ้าคลุมฮิญาบผืนใหญ่ ทำให้ใบหน้าดูเรียวและเล็กลง
7. การคลุมแบบลำลอง ง่ายๆ
8. การคลุมแบบนี้นิยมกันมากในประเทศไทย และมาเลเซีย ในหมู่วัยรุ่น ซึ่งสามารถประยุกต์ให้กับผ้าคลุมแบบ 1 หรือ 2 ชิ้นก็ได้
9. การคลุมด้วยฮิญาบผืนใหญ่ๆ
10 การคลุมผ้าฮิญาบผืนใหญ่ นิยมมากสำหรับผ้าคลุมที่มีชายผ้าสวยๆ

เงื่อนไขของ การแต่งกายของมุสลิมะห์ การแต่งกายตามหลักการอิสลาม


การแต่งกายของมุสลิมะห์
โดย อ.อับดุลฆอนี บุญมาเลิศ
สิ่งที่มนุษย์มีความโดดเด่น นอกเหนือจากเรือนร่าง และด้วยภูมิปัญญาความสามารถแล้ว มนุษย์ยังมีความโดดเด่นอยู่เสมอในเรื่องของการตกแต่ง เกี่ยวกับร่างกาย ด้วยการสวมใส่ตามความชอบ ดังที่มีการพูดกันว่า ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง นั่นคือสภาพโดยทั่วไป
แต่ทว่าสำหรับผู้ศรัทธาทั้งหญิงและชายที่มีหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว หัวใจของเขาจะต้องไม่หลุดออกจากวงโคจรของศาสนาที่ได้ยึดถืออยู่ และดูเหมือนว่าสภาพโดยรวมทั่วไปในเรื่องการสวมใส่ของสุภาพสตรี เป็นการท้าทายศาสนาอย่างมาก ยกเว้นผู้ที่มีความแข็งแรงในเรื่องของการศรัทธาเท่านั้น ที่จะมีความสามารถทวนกระแสสังคมได้ แต่ดูเหมือนว่าส่วนใหญ่จะมีความเข้าใจว่าต้องผ่อนปรน หรือต้องทำตัวให้เข้ากับสังคม จะได้ไม่ล้าหลังหรือด้อยพัฒนา
ในแง่ของอิสลามแล้ว คือความเข้าใจผิด ถ้าคิดว่าการดำเนินตามหลักการอิสลามเป็นความล้าหลัง หรือด้อยพัฒนา และอยากจะบอกให้ทราบว่าการที่แฟชั่นที่คิดว่าเป็นความก้าวหน้า หรือเป็นการนำสมัยนั้นผิด เพราะเท่าไหร่แล้วที่อ้างว่าล้ำยุค หรือนำสมัยในส่วนของเครื่องแต่งตัวนั้น มันจะวนเวียนไปมาอย่างชนิดที่เรียกว่า ตามไม่ค่อยทัน และในที่สุดก็จะกลับมาสู่ที่เดิม บางทีของใหม่ยังไม่เท่าไหร่ก็จะตกรุ่น เผลอๆไม่นานก็กลับมาดังอีก  แต่ถ้าคนที่อยู่แบบสบายๆ ไม่แสดงตัวนำสมัย ก็จะประหยัดและไม่สิ้นเปลืองดี แต่ถ้าตามระบบของศาสนาอิสลามแล้ว สะดวกสบายกว่าแน่นอน เพื่อให้เกิดความรู้ที่แท้จริงจะนำเสนอเงื่อนไขต่างๆต่อไปนี้
เงื่อนไขต่างๆที่จำต้องมีครบถ้วน ในการแต่งกายของสตรีมุสลิมะห์ มีดังนี้
1. จะต้องปกปิดร่างกายทั้งหมด
2. เครื่องสวมใส่จะต้องไม่ทำให้ดึงดูดสายตา หรือตกแต่งให้สวยสะดุดตา
3. จะต้องไม่มีกลิ่นหอมจรุงใจ
4. จะต้องไม่รัดรูปร่าง ให้ใช้แบบกว้างๆ หลวมๆ
5. จะต้องไม่บาง โปร่งใส
6. จะต้องไม่เหมือนกับเครื่องแต่งกายของผู้ชาย
7. จะต้องไม่เป็นเรื่องแต่งตัวที่เป็นแฟชั่นโด่งดัง
8. จะต้องไม่เป็นเครื่องแต่งตัวของพวกผู้ปฏิเสธ(กาเฟร์)โดยเฉพาะ
นี่คือเงื่อนไขที่จำเป็นต้องมีครบ ในการสวมใส่และการนุ่งห่มของสตรีมุสลิมะห์ เมื่อนางออกจากบ้าน หรือกรณีอยู่ต่อหน้าชายที่สามารถแต่งงานด้วยกันได้ ส่วนสามเงื่อนไขสุดท้ายจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องระวังอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในบ้านหรือนอกบ้าน หรืออยู่พร้อมกับญาติพี่น้อง และคนอื่นๆ และเงื่อนไขตั้งแต่ข้อสี่ ถึงข้อแปดนั้นรวมทั้งหญิง(มุสลิมะห์)และชาย(มุสลิมีน)
ต่อไปนี้ขอเสนอรายละเอียด เงื่อนไขต่างๆ ตามหลักฐานจากอัลกุรอาน และฮะดิษที่ถูกต้อง และคำของนักวิชาการ
จากซูเราะฮ์ อันนูร์ อายะฮ์ ที่ 31 อัลลอฮ์ ทรงตรัสว่า

"และจงกล่าวเถิดมุฮัมมัดแก่บรรดามุอ์มินะฮ์ให้พวกเธอลดสายตาของพวกเธอลงต่ำ และให้พวกเธอรักษาทวารของพวกเธอ และอย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศรีษะของเธอลงมาถึงหน้าอกของเธอ และอย่าให้เธอเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่แก่สามีของพวกเธอ หรือบิดาของสามีของพวกเธอ หรือลูกชายของพวกเธอ หรือลูกชายสามีของพวกเธอ หรือพี่ชายน้องชายของพวกเธอ หรือลูกชายของพี่ชายน้องชายของพวกเธอหรือลูกชายของพี่สาวน้องสาวของพวกเธอ หรือพวกผู้หญิงของพวกเธอ  หรือที่มือขวาของพวกเธอครอบครอง (ทาสและทาสี) หรือคนใช้ผู้ชายที่ไม่มีความรู้สึกทางเพศ  หรือเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องเพศสงวนของผู้หญิง และอย่าให้เธอกระทืบเท้าของพวกเธอ เพื่อให้ผู้อื่นรู้สิ่งที่พวกเธอควรปกปิดในเครื่องประดับของพวกเธอ  และพวกกเจ้าทั้งหลายจงขอลุแก่โทษต่ออัลลอฮ์เถิด โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับชัยชนะ "
จากอายะฮ์นี้ทำให้เราทราบว่า อัลลอฮ์ ทรงใช้ให้บรรดามุมินะฮ์ ลดสายตาและรักษาอวัยวะเพศของพวกนาง และทรงใช้ให้พวกนางปกป้องเครื่องประดับ แก่คนแปลกหน้า เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ โดยไม่มีเจตนาที่ไม่ดี
ท่านอิบนิ มัสอูด บอกว่า เครื่องประดับนั้นมี 2 ประเภทคือ
ชนิดที่หนึ่ง  คนอื่นจะมองไม่ได้ นอกจากสามี เช่น แหวนและกำไร
ชนิดที่สอง  คนแปลกหน้ามองได้ คือ ส่วนภายนอกของเสื้อผ้า
กล่าวกันว่า ชนิดที่สองนี้ คือใบหน้าและฝ่ามือ เพราะทั้งสองนั้นไม่ใช่สิ่งพึงสงวน
ท่านอัลบัยฏอวีย์ กล่าวว่า ความจริงทั้งสองสิ่งนั้น อนุญาตให้เปิดเผยได้ในเวลาละหมาดเท่านั้น มิใช่เพื่อการมอง เพราะร่างกายของสตรีทั้งหมดทุกส่วนนั้นไม่อนุญาตให้ผู้อื่นมอง นอกจากสามีและผู้ที่ห้ามแต่งงานกับเธอ (มะฮรอม) เว้นแต่ในกรณีจำเป็นเช่นการรักษาพยาบาล และอัลลอฮ์ ได้ตรัส ในซูเราะฮ์ อัลอะหซาบ อายะฮ์ ที่ 59 ความว่า
"โอ้นะบีเอ๋ย ! จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้า และบุตรสาวของเจ้า และบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธา ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง   นั่น เป็นการเหมาะสมกว่าที่นางจะเป็นที่รู้จัก เพื่อที่พวกนางจะไม่ถูกรบกวน  และอัลลอฮฺทรงเป็นผู้อภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ"
 
ข้อที่สอง เครื่องสวมใส่จะต้องไม่ทำให้เป็นที่ดึงดูดายตา
ในหัวข้อนี้มีหลักฐานจากคำตรัสของอัลลอฮ์ ซึ่งได้กล่าวไปแล้วในซูเราะฮ์ อันนูร ที่ว่า
"และอย่าให้พวกนางเปิดเผยเครื่องประดับของพวกนาง"
นั่นหมายความว่า ครอบคลุมทุกชนิดของการตกแต่ง และรวมถึงเสื้อผ้าที่มีการประดับ ทำให้สะดุดตาแก่เพศชายโดยตรง ซึ่งอัลลอฮ์ ทรงห้ามมิให้โชว์สัดส่วน ความงามของเรือนร่าง แต่กับเอาความสวยงามอีกอย่างหนึ่งมาเปิดแทนที่
ดังนั้นเรื่องนี้จึง ครอบคลุมในเรื่องของฮิญาบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเย็บปักถักร้อยลวดลาย หรือที่สตรีชอบทำการประดับผ้าคลุมผมด้วยกับพลอยต่างๆที่มีสีสัน เพื่อให้ดูหรูหรา ทั้งหมดนี้เป็นการตกแต่งที่ต้องห้ามโชว์ หรือทำให้เพศตรงข้ามเห็นความโดดเด่น ซึ่งถือว่าเป็นการแต่งตัวที่ต้องห้าม เพราะอัลลอฮ์  ทรงตรัสไว้ในซูเราะฮ์ อัลอะหซาบ อายะฮ์ ที่ 33 ความว่า 
"และจงอยู่ในบ้านเรือนของพวกเธอและอย่าได้โออวดความงาม (ของพวกเธอ) เช่น การอวดความงาม (ของพวกสตรี) แห่งสมัยงมงายในยุคก่อน  และจงดำรงการละหมาดและจ่ายซะกาต และจงภักดีต่ออัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ อัลลอฮฺเพียงแต่ต้องการที่จะขจัดความโสโครกออกไปจากพวกเจ้า  โอ้สมาชิกของวงศ์ตระกูล (นะบี) เอ๋ย  และทรง (ประสงค์) ที่จะขัดเกลาพวกเจ้าให้สะอาดบริสุทธิ์"
และคำว่า (التبرج)อัตตะบัรรุจญ์ นั้นคือ การที่สตรีออกปรากฏตัว และโชว์ความงามของพวกนาง และยั่วยุให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดอารมณ์ และทำการประเจิดประเจ้อของสตรีนั้น ถือเป็นบาปใหญ่ (كبا ئر الذنوب) เพราะท่านเราะซูล  ได้กล่าวไว้ในบันทึก บุคอรีย์ และอัลฮากิม และคนอื่นๆว่า
"สาม จำพวกที่เจ้าอย่าได้ถามถึงพวกเขาเป็นอันขาด คือ คนที่แยกตัวออกจากส่วนรวม แม่เชื่อฟังผู้นำของตน และเขาตายอยู่ในสภาพที่เขาเป็นผู้ฝ่าฝืน ทาสหญิงหรือชายที่หนีนายของตนแล้วตายไป และหญิงที่สามีของนางไม่อยู่ทั้งๆที่เขาได้ให้ความพอเพียงในเรื่องการเป็นอยู่ของนางได้แล้ว พวกนางก็ยังออกไปเตร็ดเตร่นอกบ้าน ในขณะที่เขาไม่อยู่"
คำว่า เจ้าอย่าถามถึงพวกเขานั้น คือ ไม่ต้องถามถึงพวกเขาอีกแล้ว เพราะพวกเขาเป็นกลุ่มพินาศ เช่นเดียวกับที่อิมามอัซซะฮะบีย์ ได้อธิบายไว้ในหนังสือ อัลกะบาอิร ซึ่งท่านได้นับเรื่องการอัตตบัรรุจญ์ว่า ถือเป็นบาปใหญ่ โดยบอกไว้ในหนังสือของท่านว่า
"และการออกไปอวดโฉมของพวนาง นางก็จะสวมใส่เสื้อผ้าที่แพงๆ หรูๆ พร้อมทั้งแต่งตัวอย่างสวยงาม แล้วออกไปสู่สายตาของคนทั้งหลาย ทำให้เกิดฟิตนะฮ์ เนื่องจากตัวของนางเอง แม้ว่านางจะไม่มีปัญหาในตัวของนาง แต่คนทั้งหลายนั้นจะไม่รอดพ้นจากปัญหา(ฟิตนะฮ์)อย่างแน่นอน เมื่อพวกเขาเห็นนาง"
และอิมามอัซซะฮะบีย์ ได้กล่าวอีกว่า
และการกระทำที่สตรีถูกสาปแช่งนั้นคือ ที่พวกนางโชว์เครื่องประดับเป็นทองคำ เพชร พลอย อัญมณี ทั้งๆที่มีการสวมฮิญาบอยู่แล้ว ตลอดจนการใส่เครื่องหอม เวลาออกจากบ้าน พร้อมทั้งใส่เสื้อผ้าที่มีสีฉูดฉาด ผ้าคลุมสั้น เสื้อยาวแขนเปิดกว้าง ทั้งหมดนี้ คือการอวดโฉมที่อัลลอฮ์  ทรงโกรธกริ้วคนที่ทำเช่นนั้น ซึ่งสตรีทั้งหลายยังไม่รู้สิ่งที่นะบี  พูดถึงพวกนางในฮะดิษของท่านว่า
"ฉันเห็นในนรก ซึ่งส่วนมากของชาวนรกเป็น สตรี"
แน่นอนแล้ว ที่อิสลามได้เน้นในการตักเตือน มิให้มีการอวดโฉมของสตรี เป็นเรื่องย้ำบ่อยครั้ง โดยอัลลอฮ์  ทรงระบุเรื่องนี้ไว้พร้อมกับการทำชิริก การลักขโมย และอื่นๆ จากนั้นที่เป็นบาปใหญ่ ท่านเราะซูล  ให้สตรีสัตยาบันกับท่านว่า จะอยู่ในหลักการอิสลาม  ท่านจึงกล่าวว่า
"ฉันทำสัตยาบันกับเธอว่า เธอจะต้องไม่ตั้งสิ่งใดเป็นภาคีกับอัลลอฮ์ จะไม่ลักขโมย จะไม่ผิดเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ จะไม่ฆ่าลูกๆของตัวเอง จะไม่กุเรื่องเท็จเกี่ยวกับตัวนาง จะไม่ร้องเอะอะโวยวายเกี่ยวกับเรื่องการตาย จะไม่กระทำการอวดโฉมตัวเองแบบพวกยุคสมัยงมงาย"
 
ข้อที่สาม จะต้องไม่มีกลิ่นหอมจรุงใจ
เรื่องนี้มีฮะดิษเศาะเฮี๊ยะอยู่หลายบท ซึ่งห้ามอย่างหนักในการที่สตรีออกจากบ้านของนางในสภาพที่ใส่เครื่องหอม ท่านเราะซูล  ได้กล่าวไว้ว่า
"หญิงใดที่ใส่เครื่องหอมออกจากบ้าน แล้วผ่านฝูงชนเพื่อให้พวกเขาได้กลิ่นหอมของนาง นางก็คือผู้ทำซินา" (บันทึกโดย อะหมัด และคนอื่นๆด้วยสายรายงานที่ดี)
ท่านเราะซูล  ได้กล่าวว่า
"หญิงใดใส่เครื่องหอมแล้วออกไปมัสยิด การละหมาดใดๆของนางจะไม่ถูกรับ จนกว่านางจะล้างออกเสียก่อน"
และในบันทึกของมุสลิม โดยรายงานของอบูฮุรอยเราะฮ์ กล่าวว่าท่านเราะซูล  ได้กล่าวว่า
"หญิงใดที่อบควันเครื่องหอม นางก็อย่ามาร่วมละหมาดอิชาอ์กับเรา"
การยืนยันของฮะดิษต่างๆเหล่านี้ในเรื่องการใส่เครื่องหอม มีทั้งที่ใส่เครื่องหอมโดยตรง และเสื้อผ้าที่มีกลิ่นหอม ซึ่งทั้งสองสิ่งนั้นเป็นที่ต้องห้ามสำหรับสตรี ในตอนที่นางออกจากบ้านของนาง และเป็นเหตุของการห้ามนั้น อันเนื่องจากการใส่เครื่องหอมของสตรีนั้นเป็นการยั่วยุอารมณ์ เช่นเดียวกับการสวมใส่เครื่องแต่งกายที่สวยงาม การแต่งกายที่ดูหรูหรา และโดดเด่น ตลอดจนการไปอยู่ปะปนกันกับหมู่ชาย ดังนั้นการกระทำต่างๆเหล่านี้ เป็นที่ต้องห้ามในการไปมัสยิด และเป็นที่ต้องห้ามหนักในการที่พวกเธอออกไปท้องตลาด หรือถนนหนทาง
และอัลฮัยซะมีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อัซซะวาญิรอันอิกติรอฟิลกะบาอิร ได้ถือเอาการออกนอกบ้านของสตรี โดยการใส่เครื่องหอม และแต่งตัวหรูเริ่ด แม้จะมีการขออนุญาติจากสามี ก็ถือว่าเป็น บาปใหญ่ (กะบาอิร)
 
ข้อที่สี่ เครื่องแต่งกายนั้นจะต้องไม่รัดรูป
อิมามอะหมัด ได้รายงานไว้ในหนังสือ มุสนัด จากอุซัยมะฮ์ บิน ไซยด์ กล่าวว่า
"ท่านเราะซูล  ได้ให้ฉันใส่เสื้อคลุมตัวหนึ่งที่เป็นแบบกิบฏียะฮ์(เผ่าหนึ่งในอียิปต์) อย่างหนา ซึ่งเดี๊ยะห์ยะฮ์ อัลกัลบีย์ ได้ให้เป็นของขวัญแก่ท่านมา แล้วฉันก็ได้เอาให้ภรรยาของฉันใส่ ดังนั้น ท่านเราะซูล  จึงได้พูดกับฉันว่า ทำไมเจ้าจึงไม่ใส่เสื้ออัลกิบฏียะฮ์ ตัวนั้นเล่า ? โอ้ เราะซูล  ฉันได้ให้ภรรยาของฉันใส่ ท่านเราะซูล  จึงได้บอกกับฉันว่า เจ้าจงใช้ให้นางสวมใส่เสื้อข้างในอีกตัวหนึ่ง ฉันกลัวว่าเสื้อคลุมตัวนั้นจะเผยขนาดของรูปทรงของนาง"
ดังนั้นเป้าหมายของฮิญาบก็คือ การป้องกันมิให้เกิดฟิตนะฮ์ในสตรี และจะป้องกันไม่ได้นอกจากการแต่งตัวด้วยผ้าคลุมที่หลวมและกว้าง ส่วนเครื่องนุ่งห่ม หรือเสื้อคลุมที่รัดรูปและแคบ แม้ว่าจะปิดผิวกายได้ตามความต้องการ แต่ยังมีการเน้นรูปร่างให้เห็นสัดส่วนของสตรี หรือบางส่วนของร่างกาย
และส่วนใหญ่ของสตรีจะเน้นส่วนบนให้มีการปกปิด เช่น ใบหน้า ศรีษะ คอ อก และถือว่าเป็นเรื่องจำเป็น หากแต่ว่าพวกนางสวมใส่เสื้อผ้ายาวถึงตาตุ่ม หรือสูงกว่าเล็กน้อย จึงทำให้เห็นบางส่วนของขา หรือเท้า ขณะเดิน หรือขึ้นบันได หรือมีลมพัดเสื้อผ้า ซึ่งเป็นเรื่องไม่สมควร วิธีแก้คือ ให้เสื้อผ้าของสตรียาวจนปกปิดส่วนต่างๆ จนไม่เปิดให้เห็นช่วงที่เดินหรือทำการสวมถุงเท้าที่หนาทึบ มีหลักฐานในซุนนะฮ์ ของตริมีซีย์ จากรายงานของอุมัร กล่าวว่า ท่านเราะซูล  กล่าวว่า
"ใครที่เดินลากเสื้อผ้าของเขาในสภาพเย่อหยิ่ง อัลลอฮ์จะไม่ทรงมองเขาในวันกิยามะฮ์"
ท่านหญิงอาอิซะฮ์ ได้กล่าวว่า ดังนั้น บรรดาสตรีจะทำอย่างไรกับผ้าของนางที่ยาวลากนั้น ? ท่านนะบี  ก็กล่าวว่า ก็ให้พวกนาวปล่อยยาวหนึ่งคืบ(ترخين شبرا) นางกล่าวว่าอย่างนั้น เท้าก็โผล่ให้เห็นอีก ท่านนะบี  จึงได้บอกอีกว่า
"ดังนั้นพวกเธอก็ปล่อยให้ยาวหนึ่งศอก ไม่เกินไปกว่านั้น" (บันทึกโดย ติรมิซีย์ และคนอื่นๆ)
ดังนั้นจงใช้ความพินิจพิจารณาในฮะดิษที่ถูกต้องเหล่านี้ บรรดามุสลิมะห์ ที่สวมใส่เครื่องแต่งกายของพวกเธออย่างรัดรูป เผยให้เห็นสัดส่วนต่างๆ บริเวณคอ เอว แขน และรูปสะโพก  หรือส่วนอื่นๆ จากเรือนร่าง ซึ่งพวกนางจะต้องขออภัยโทษ ต่ออัลลอฮ์ ให้มากๆและแยกการกระทำที่ไม่ดีงามออกให้พ้นตัว และรำลึกถึงคำพูดของท่านเราะซูล ให้มากในฮะดิษที่ว่า
" ความอายกับความศรัทธานั้น ควบคู่กันอยู่ตลอด ถ้าอย่างหนึ่งถูกยกออกไป อีกอย่างหนึ่งก็ถูกยกไปด้วย"
 
ข้อที่ห้า จะต้องไม่กว้างไม่แนบเนื้อ
มีบันทึกอยู่ในเศาะเฮี๊ยะมุสลิม จากอบูฮุรอยเราะฮ์ กล่าวว่า ท่านเราะซูล  ได้กล่าวว่า
"มีสองจำพวกของชาวนรก ซึ่งฉันยังไม่เห็นสองจำพวกนั้น พวกหนึ่งที่มีแซ่เหมือนหางวัว พวกเขาใช้ตีผู้คนทั้งหลาย และสตรีแต่งกายไม่มิดชิด เดินโชว์สัดส่วนใส่เครื่องหอม ศรีษะของพวกนางเหมือนตะโหนกอูฐที่เอียง นางเหล่านั้นจะมิได้เข้าสวรรค์ พวกนางจะไม่ได้กลิ่นของสวรรค์"
ดังนั้น จึงจำเป็นที่ฮิญาบของสตรีมุสลิมะห์ นั้นจะต้องมิดชิด และไม่รัดรูป เพราะการปกปิดนั้นจะไม่สมบูรณ์ด้วยการสวมใส่ที่มิดชิดและไม่รัดรูป และเนื่องจากว่าการใส่เสื้อผ้าที่บาง หรือรัดรูปนั้นจะให้เกิดฟิตนะฮ์ และความสะดุดตาแก่ผู้พบเห็น
อิบนุ อับดิลบัรร์ ได้กล่าวว่า ท่านนะบี  มีเป้าหมายที่จะบอกว่า บรรดาสตรีที่สวมใส่เสื้อผ้าที่รัดรูป ไม่มิดชิด พวกนางคือ (กาซิยาต) แต่งตัวโป๊ ตามความเป็นจริง
 
ข้อที่หก จะต้องไม่คล้ายกับเครื่องนุ่งห่มของผู้ชาย
อิมามบุคอรีย์ ได้บันทึกไว้ในหนังสือเศาะเฮี๊ยะ รายงานโดย อิบนุ อับบาส ว่า
"ท่านเราะซูล  สาปแช่งบรรดาชายที่ทำตัวเลียนแบบหญิง และบรรดาผู้หญิงที่ทำตัวเลียนแบบผู้ชาย"
จากหนังสือเศาะเฮี๊ยะอิมามอะหมัด รายงานจาก อับดุลลอฮ์ อิบนุ อุมัร ว่า แท้จริง ท่านเราะซูล  ได้กล่าวว่า
"สามคนที่ไม่ได้เข้าสวรรค์ และอัลลอฮ์ จะไม่ทรงมองพวกเขาในวันกิยามะฮ์ คือ คนที่เนรคุณต่อบิดามารดาของเขา หญิงที่แต่งตัวแบบผู้ชาย และคนที่มีชู้"
เหล่านี้เป็นหลักฐานอย่างชัดเจนว่า ห้ามหญิงแต่งตัวแบบผู้ชาย หรือแต่งตัวแบบหญิง หรือการเลียนแบบในด้านอื่นๆ นอกเหนือจากการใช้เครื่องนุ่งห่ม ทั้งในบ้านและนอกบ้าน
 
ข้อที่เจ็ด จะต้องไม่เป็นเครื่องแต่งกายที่บอกความนิยมโด่งดัง
ท่านเราะซูล  ได้กล่าวไว้จากรายงานของอบูดาวู๊ด ละอิบนุ มาญะฮ์ ที่ว่า
"ใครที่สวมใส่เสื้อผ้าเพื่อความโด่งดัง ในวันกิยามะฮ์ อัลลอฮ์ จะทรงให้เขาสวมใส่ชนิดเดียวกับที่เขาได้สวมใส่นั้น และจะทรงให้เปลวไฟลุกโชนอยู่ในนรก"
และเสื้อผ้าที่สวมใส่ด้วยเจตนาเพื่อให้ดูเด่นในหมู่ชน มีราคาแพง นำมาสวมใส่เพื่อเป็นการแสดงความร่ำรวย โอ่อ่าในเรื่องดุนยา ไม่ว่าหรือหญิง หรือชายก็ตามที่ทำเช่นนั้น เขาก็จะโดนลงโทษที่คาดไว้นั้นแน่นอน ยกเว้นผู้ที่เตาบะฮ์ กลับเนื้อกลับตัวเท่านั้น
 
ข้อที่แปด จะต้องไม่เป็นการเลียนแบบพวกกาเฟร์
ในฮะดิษเศาะเฮี๊ยะ ของอาบูดาวู๊ด รายงานของ อิบนุ อุมัร  กล่าวว่า ท่านเราะซูล ได้กล่าวว่า
"ใครที่ทำเลียนแบบชนกลุ่มใด เขาก็เป็นชนกลุ่มนั้น"
และความหมายของดำรัส ของอัลลอฮ์ จากซูเราะฮ์ อัลหะดิษ อายะฮ์ ที่ 16 ความว่า
"ยังไม่ถึงเวลาอีกหรือ สำหรับบรรดาผู้ศรัทธาที่หัวใจของพวกเขาจะนอบน้อม ต่อการรำลึกถึงอัลลอฮ์ และสิ่งที่ได้ลงมาจากความจริง และพวกเขาอย่าเป็นเช่นบรรดาผู้ได้รับคัมภีร์มาแต่ก่อนนี้..."
อิบนุ กะษีร ได้พูด เกี่ยวกับความหมายของอายะฮ์นี้ว่า
"ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงได้ห้ามบรรดามุมินในการที่จะทำเลียนแบบพวกกุฟฟาร ในสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เป็นเรื่องพื้นฐานเดิมหรือปลีกย่อยก็ตาม"
และได้มีการถ่ายทอดจาก อิบนุ ตัยมียะฮ์ ในความหมายของอายะฮ์ เดียวกันนี้ตรงคำที่ว่า ولا تكو نو ا   "อย่าได้เป็น" อย่างเช่น คือการห้ามที่ตรงๆ ในการที่จะเลียนแบบพวกกาเฟร และใครที่นึกว่า การแต่งตัว หรือเครื่องนุ่งห่ม มิได้เข้าอยู่ในการห้ามนั้น ก็เท่ากับว่าเขาผู้นั้นได้เบนออกไปจากความถูกต้องแล้ว เพราะว่า ท่านเราะซูล  ได้ห้ามเอาไว้หลายที่ด้วยกัน เกี่ยวกับเรื่องเสื้อผ้าของกุฟฟาร์ เช่น ตัวอย่างที่อิมามมุสลิมได้บันทึกไว้ ในหนังสือเศาะเฮี๊ยะของท่าน โดยรายงานจาก อับดิลลิฮ์ บิน อัมร อิบนิลอาศ กล่าวว่า
"ท่านเราะซูล  ได้เห็นฉันสวมชุดเหลืองสองตัว ท่านจึงกล่าวว่า แท้จริงนี้คือ ชุดของกุฟฟาร์ ท่านอย่าเอามาสวมใส่" (บันทึกโดยมุสลิม)
อาจมีบางคนกล่าวว่าการสวมใส่เครื่องนุ่งห่มไม่เกี่ยวกับพวกปฏิเสธ และการห้ามเลียนแบบนั้น เราจะขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮ์ผู้เดียวเท่านั้น คือ
1.จำเป็นแก่พวกเราในฐานะที่เป็นมุสลิม เราจะต้องกระทำตามสิ่งที่อัลลอฮ์ และนะบี  ของพระองค์ได้สั่งพวกเรา แม้ว่าเราจะไม่ทราบเหตุผลก็ตาม เรานั้นคือบ่าวของอัลลอฮ์ และพระองค์จะทรงบัญชาคำสั่ง ตามที่พระองค์ทรงประสงค์
2.นักวิชาการบางส่วนได้พูดถึงสาเหตุหลายประการ และข้อชี้ขาดของการห้ามนี้ ดังเช่นที่อิมาม อิบนุ ตัยมียะฮ์ ได้กล่าวว่า
"แท้จริงแล้ว อัลลอฮ์ ได้ทรงส่งบ่าวของพระองค์ และทรงส่งเราะซูลของพระองค์ คือ มุฮัมมัด  เป็นแบบอย่างที่เป็นหลักบัญญัติ พระองค์ทรงแต่งตั้งท่านเป็นส่วนหนึ่งของแบบอย่างนั้น คือ ที่พระองค์ทรงตั้งหลักการที่อยู่ในคำพูด และการกระทำที่แยกแยะออกจากแนวทางของพวกที่พระองค์ทรงกริ้วและทางของพวกหลงผิด และได้ใช้ให้สวนทางกับพวกเขาด้วยแบบอย่างชัดเจน
แม้ว่าจะไม่เป็นที่ประจักษ์แก่คนส่วนใหญ่ในข้อเสีย เนื่องจากหลายประการด้วยกัน ส่วนหนึ่งก็ได้แก่เมื่ออยู่ในแนวทางที่ชัดแจ้งนั้นก็จะทำให้เกิดความกลมกลืน และไม่แยกแยะในระหว่าง ผู้ที่เลียนแบบกับผู้ถูกเลียนแบบ ซึ่งจะนำไปสู่ความสอดคล้องกันทั้งในรูปของกริยามารยาท หรือการกระทำที่เป็นเรื่องที่สัมผัสได้ เพราะว่าเช่นเดียวกับคนที่สวมใส่เสื้อผ้าของผู้รู้ เขาจะพบว่าตนนั้น ได้ทำอย่างหนึ่งที่เหมือนกับเป็นการเห็นด้วยกับผู้รู้นั้น"
 
จึงขอจบในเงื่อนไขที่จำเป็นต้องมีครบในเรื่องเสื้อผ้าของสตรี และการปกปิดร่างกาย มีความจำเป็นต่อมุสลิม ที่จะต้องทำให้เงื่อนไขที่กล่าวไว้ปฏิบัติให้ครบถ้วนในภรรยาของพวกเขา ตลอดจนผู้ที่อยู่ภายใต้การปกครองของตน เนื่องจากมีคำกล่าวของท่านนะบี  ว่า
"พวกท่านทุกคนเป็นผู้ปกครอง ดูแลรับผิดชอบ พวกท่านทุกคนจะต้องถูกถามถึงผู้อยู่ภายใต้การปกครองของตน"(บันทึกโดย อิมามบุคอรีย์ และมุสลิม)
ท่านนะบี  ได้กล่าวว่า
"แท้จริงอัลลอฮ์ นั้นจะทรงถามผู้ปกครองทุกคน ถึงสิ่งที่พวกเขาดูแลรับผิดชอบ ว่าดูแลอย่างดี หรือทำให้มันสูญหายตลอดจนถามผู้ชายถึงครอบครัวของเขา"
และอัลลอฮ์ ตรัสไว้ในซูเราะฮ์ อัตตะหรีม อายะฮ์ที่ 6 ว่า
"โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงคุ้มครองตัวของพวกเจ้า และครอบครัวของพวกเจ้าให้พ้นจากไฟนรก เพราะเชื้อเพลิงของมัน คือ มนุษย์ และก้อนหิน มีมลาอิกะฮ์ ผู้แข็งกร้าว ห้าวหาญคอยเฝ้ารักษามันอยู่ พวกเขาจะไม่ฝ่าฝืนอัลลอฮ์ ในสิ่งที่พระองค์ทรงมีบัญชาแก่พวกเขา และพวกเขาจะปฏิบัติตามที่ถูกบัญชา"
ดังนั้น พี่น้องทุกท่านจงระวังให้ดี คุณจะเป็นคนที่อัลลอฮ์  ให้ดูแลและเขาก็ทำให้สูญหาย จงระวังที่จะทำให้เขาเป็นเชื้อเพลิงของไฟนรก จงใช้ภรรยาของคุณคลุมฮิญาบให้ถูกต้องตามที่ อัลลอฮ์ และนะบี  ได้ทรงใช้ จงนึกถึงดำรัสของอัลลอฮ์ ที่อยู่ในซูเราะฮ์ อันนูร อายะฮ์ที่ 63 ว่า

"ดังนั้น บรรดาผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งของเขา(มุฮัมมัด) จงระวังตัวเอาไว้ให้ดีเถิดว่า เคราะห์กรรมจะประสบกับพวกเขา หรือไม่ก็การลงโทษอันเจ็บปวด จะประสบกับพวกเขาเช่นกัน"
โอ้ อัลลอฮ์ ข้าพระองค์ได้ทำหน้าที่เผยแพร่แล้วใช่ไหม ?
โอ้ อัลลอฮ์ ขอพระองค์ทรงได้เป็นพยานให้ด้วยเถิด !
ข้าพระองค์ขอต่อ อัลลอฮ์ ซุบฮาน่าฮุว่าตะอาลา ด้วยพระนามและคุณลักษณะอันงดงาม อันสูงส่งของพระองค์ ในการที่พระองค์จะทรงเอื้ออำนวยให้เรา และบรรดามุสลิมได้ปฏิบัติตามคำสั่งใช้ และห่างไกลจากข้อห้ามของพระองค์อย่างสมบูรณ์ แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงตอบรับคำวอนขอ
 
ขอขอบคุณข้อมูล การแต่งกายของมุสลิมะห์ : islammore.com

ทําไมมุสลิมต้องคลุมฮิญาบ

ทําไมมุสลิมต้องคลุมฮิญาบ ผ้าคลุม ฮิญาบ สี่เหลี่ยม คลิปคลุมฮิญาบ
ทำไมสาวมุสลิมถึงคลุมผม ทําไมมุสลิมต้องคลุมฮิญาบ  และทำไมชายถึงใส่เป็นหมวกประจำ 
การคลุมผ้า (ฮิญาบ )ของสตรีมุสลิมนั้นไม่ใช่ประเพณีของอาหรับ แต่เป็นบทบัญญัติของศาสนา ฮิญาบ แปลว่า ปิดกั้น

ประวัติที่มาของการคลุมฮิญาบมีดังนี้
ช่วงแรกๆในการเป็นศาสนฑูตของท่านนบีมูฮำมัดนั้น ยังไม่มีคำสั่งเรื่องการคลุมฮิญาบลงมา ครั้นเมื่อท่านนบีมูฮัมมัด (ซล.) มุ่งหน้าไปยังเมืองมะดีนะฮฺ ช่วงนั้นท่านนบียังไม่มีที่บ้านเป็นของตนเอง จึงพักที่บ้านของอบูอัยยูบ  แต่ภรรยาของท่านนบีต้องพักที่อื่น เช่นนั้นเมื่อภรรยาของท่านนบีและสตรีมุสลิมท่านอื่นๆ ต้องการออกไปทำภาระกิจ (เช่น ธุระส่วนตัว....เมื่อก่อนยังไม่มีห้องน้ำ)  ในยามค่ำคืน ก็ต้องออกไปทำภารกิจนอกบ้านซึ่งในระหว่างทาง พวกอันธพาลมักนั่งแถวๆ ข้างทาง คอยหยอกล้อ,จีบสาว และพูดจาเกี้ยวพาราสีต่อสตรีที่เดินผ่านไปมา
ด้วยเหตุนี้พระองค์อัลลอฮฺทรงประทานอัลกุรฺอานในบทที่ว่า
"โอ้นบีเอ๋ย จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้า และบรรดาบุตรสาวของเจ้า และบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธาโดยให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนางเถิด" ( Qu’ran บทอัลอะหฺซาบ 33 : 59)

**ถ้าเป็นกลุ่ม กุรอานนียูร จะเชื่อว่าดึงผ้าลงมาปิดแค่ช่วงหน้าอกก็พอ ใครพบเจอก็ระมัดระวังกลุ่มนี้นะคะ เพราะเขาจะเชื่อเฉพาะอัลกุรอาน ไม่เชื่อตัวบทฮะดีษ ตีความกุรอานเองเข้าข้างตนเอง อากีดะฮฺจะเสียได้
การคลุมฮิญาบของสตรีนั้น โดยทั่วไป จะเปิดเผยแค่ใบหน้าและฝ่ามือ ส่วนการปิดจนเหลือแต่ลูกตานั้นเป็นทัศนะที่ปฏิบัติเพื่อป้องกันตนเองจากฟิตนะห์ (ความไม่ดีไม่งามทางสังคม)  เช่น ป้องกันการถูกแซว หรือ การหยอกล้อเชิงชู้สาว 
จากเพื่อนชาย เป็นต้น
การปิดหน้าจนเหลือแต่ลูกตา ไม่ได้มีไว้เพื่อปิดบังตัวเอง จากการทำสิ่งไม่ดี หรือ เพื่อเจตนากระทำสิ่งต่าง ๆ โดยไม่ให้ผู้อื่นรู้ว่าตนเองเป็นใคร เพื่อไม่ให้ใครจำได้ เช่น ยามปกติ(หมายถึงการใช้ชีวิตปกติทั่วๆไปก็ใส่ฮิญาบธรรมดา) ก็ไม่ได้ปิดหน้าปิดตา การกระทำเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เช่นนี้ไม่ใช่เจตนาของอิสลาม ที่้ใช้ศาสนาอำพราง กระทำในสิ่งไม่ดี และการปิดหน้านั้นไม่ใช่เพื่อป้องกันฝุ่นทะเลทรายหรือประเพณีอย่างที่คิดกันไปเอง เพียงเพราะว่าอิสลามมาจากประเทศแทบอาหรับทะเลทราย แต่มาจากบทบทบัญญัติศาสนา ในเรื่องการคลุมฮิญาบและป้องกันสิ่งที่ไม่ดีนั่นเอง
อย่าไปล้อเลียนดูถูกคนที่ปิดหน้า เพราะเขาทำเพื่อป้องกันฟิตนะฮฺและอยู่ในหนทางอิสลามเช่นกัน  (เรื่องทัศนะของบรรดาผู้ร ู้เรื่องเปิดหน้า ปิดหน้า จะเอามาลงอีกที อินชาอัลลอฮฺ) เขาก็ต้องใช้ความอดทนมากกว่าคนที่เปิดเผยใบหน้าและฝ่ามือ น่ายกย่องเขามากกว่า…ที่เขาเลือกที่จะป้องกันตัวเองก่อนที่สิ่งไม่ได้ต่างๆ จะมาถึงตัวเขา ดังนั้น จะเปิดหรือปิดหน้า ไม่ควรนำมา่เถียงกัน ว่าคุณถูกเธอผิด หรือไปดูถูกคนที่เขาปิดหน้า  สำรวจตัวเองว่า ตัวเองปฏิบัติในศาสนาได้ดีแล้วหรือ ที่จะไปกล่าวหาผู้อื่น   ว่าเ้ขาทำไม่ถูกต้อง
ทัศนะส่วนตัวของan จากที่พบเห็นได้ศึกษาเรียนรู้พฤติกรรมและจิตใจมนุษย์   พบว่า์ปิดหน้าป้องกันฟิตนะห์ได้มากกว่า เพราะบางทีแม้กระทั่งดวงตา ปาก จมูก รอยยิ้ม น้ำเสียง หรือส่วนของมือของสตรี ก็ทำให้ฝ่ายชาย คิดอะไรไปได้กว่ากว่าที่ สตรีคิด เพราะชายมีความสามารถรับรู้ด้านอารมณ์ทางเพศได้มากกว่าหญิง พูดง่ายๆว่า ความรู้สึกของชายไวต่อสิ่งเร้ามากกว่าหญิง  แต่หญิงจะมีความรู้สึกด้าน ความรักความสวยงามมากกว่า แต่ไม่ใช่อยู่กับน้องชายกับพ่อ ก็เล่นแต่งชุดว่ายน้ำอยู่กับบ้านก็ไม่ถูกต้อง   แต่งได้ แต่แต่งให้สามีดูนะคะ หรือแต่งในห้องดูคนเดียว 

ฮิญาบคือการกดขี่สตรีเพศรึเปล่า ??
ฮิญาบไม่ได้เป็นการกดขี่สตรีเพศของอิสลาม อยากให้มองดูสังคมแบบใจที่เป็นกลาง อิสลามให้ป้องกันก่อนจะมีสิ่งไม่ดีตามมา อิสลามมีการปกป้องและป้องกันจากสิ่งไม่ดีทั้งหลาย เราไม่อาจปฏิเสธได้ ในเรื่องธรรมชาติอารมณ์ของมนุษย์ มีได้หลายอย่าง การมอง การได้กลิ่น และการสัมผัส ดังนั้น ด้วยหัวใจของมนุษย์นั้นที่ไม่สามารถคาดเดาได้ อิสลามจึงให้สตรีปกป้องตัวเองไว้ก่อน ดีกว่าที่จะไปแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
ดูแลตัวเองปกป้องตัวเองเสียก่อน ก่อนที่จะไปพึงพาอาศัยคนอื่น หรือเมื่อเกิดปัญหาแล้วมาแก้ปัญหาที่ปลายเหตุสั้นๆง่ายๆ .. ป้องกันก่อนเกิดปัญหา ^^
อีกทั้งยังแสดงถึงความเท่าเทียมกัน ไม่โชว์ว่ามีดีกว่าคนอื่น สวยกว่าคนอื่น ไม่ต้องโชว์เครื่องประดับประดาต่างๆ และลดปัญหาการล้อเลี่ยนปมด้อยในร่างกายของแต่ละคน เช่น ร่างกายผิดปกติ เป็นเหตุที่เขาควบคุมไม่ให้เกิดขึ้นกับเขาไม่ได้  ตรงนี้เมื่อคนไม่เห็น เขาจะสุขสงบใจมากกว่า ที่คนจะมองด้วยสายตาประหลาดๆ ทำให้เกิดเป็นปมด้อยขาดความมั่นใจ   จนลืมไปว่าทุกคนมีความสามารถหลายๆอย่าง สามารถงัดมาใช้ให้เป็นประโยชน์เพิ่มคุณค่าให้กับตัวตน เช่นความรู้ความสามารถ ด้านศาสนา การเรือน และด้านอื่นๆอีกมาก จึงเป็นสิ่งช่วยสร้างความอบอุ่นทั้งกายและใจในภายใต้ฮิญาบ นอกจากฮิญาบแล้ว  เสื้อผ้าก็จะไม่รัดรูปค่ะ เน้นส่วนต่างๆของร่างกาย ก็ไม่แตกต่างกับที่ไม่คลุมฮิญาบนั่นเองค่ะ ^^
ในประเด็นที่ว่ามีดีก็ต้องโชว์ แต่อิสลามสวยด้วยการปกป้อง สวยด้วยอัตลักษณ์ของศาสนา มองให้ลึกลงไปว่าสาวๆเหล่านั้นรักนวลสงวนตัว  และมีความสวยงามของผู้ศรัทธา^^
ได้พูดคุยแลกเปลี่ยน กับคนต่างศาสนาหลายๆคน ที่ตั้งใจมาสอบถามหาความรู้เกี่ยวกับอิสลาม ทุกคนพูดว่า สตรีอิสลามแต่งกายปกปิด เห็นอยากให้สังคมเป็นแบบนี้มาก เพราะจะช่วยยกระดับ  ปัญหาสังคมต่างๆ และดูมีค่า มีราคามากกว่า เปิดโชว์  คำพูดจากชายต่างศาสนา
ส่วนการแต่งกายของชายมุสลิมนั้น
ก็ตามปกติทั่วๆไป มีส่วนที่ต้องปกปิดไว้ ตั้งแต่ ระหว่างหัวเข่าถึงสะดือค่ะ จะใส่สูทผูกไทค์ หรือจะใส่สะโหร่ง กางเกงเลก็ได้ ^^ ฯลฯ  แต่ต้องไม่ปิดเผยเอาเราะฮฺนั่นเอง (สำหรับชาย คือ ระหว่างหัวเข่าถึงสะดือ)
และการสวมหมวกของชายมุสลิม(ทั้งสีขาวและสีอื่นๆ) เรียกกว่าหมวกใส่เพื่อทำการละหมาด( นมัสการพระเจ้า) ภาษามาลายูเรียกว่า กะปิเยาะห์ (เป็นที่มาของชื่อเขตบางกะปิอีกด้วยเพราะเมื่อก่อน พื้นที่นี้มีมุสลิมมากมายอยู่บริเวณพื้นที่นั้น คนเรียกจากบางกะปิเยาะห์มาเป็นบาง) ที่ชายมุสลิมใส่เป็นส่วนมาก เพราะท่านนบีมูฮัมมัด (ซล.) ได้กระทำไว้เป็นแบบอย่าง  ( อิสลามนั้นใช้แบบอย่างจากนบีท่านนบีมูฮัมมัด (ซล.) ที่รับวะยูห์มาจากพระเจ้า เรียกว่าซุนนะฮฺ) แต่ไม่ได้จำเป็นต้องใส่แต่หมวกเท่านั้น  เพราะท่านนบีมูฮัมมัด (ซล.) บางครั้งก็ใช้ผ้าสะระบั่น มาโพกที่ศรีษะ บางครั้งก็ใส่หมวกและเอาผ้าโพกอีกครั้งหนึ่งค่ะ
การที่มุสลิมโพกผ้าศีรษะถือว่าเป็นซุนนะฮฺเหมือนกัน มีรายงานถึงลักษณะของท่านนบีว่า ท่านอัมร์เล่าว่า  " ท่านรสูลุลลอฮฺกล่าวเทศนาธรรม (คุฏบะฮฺ) โดยใช้ผ้าโพกศีรษะสีดำ "บันทึกโดยติรฺมิซีย์ , อิบนุมาญะฮฺ และอบูดาวูด)
ส่วนจะใส่หรือไม่ใส่ทั้งในเวลาปกติ หรือเวลาละหมาดนั้น ไม่ได้เป็นคำสั่งใช้ ว่าจำเป็นต้องกระทำ (เช่นการละหมาด นั้นจำเป็นต้องทำ) แต่ทำตามท่านนบีนั่นจะดีกว่านั้นเอง อาจจะถามว่าทำไม ชายส่วนที่ปกปิด ระหว่างหัวเข่าถึงสะดือ แต่หญิง คือ ฝ่ามือและใบหน้า เพราะชายมีหน้าที่มากมายกว่าหญิง ชายเป็นเพศที่ต้องปกป้องและทำหน้าที่ดูแลครอบครัว แต่หญิงเมื่ออยู่ในบ้านก็ตามปกติ นั่นเองค่ะแค่ออกจากบ้านก็ต้องมีฮิญาบ... และ่เมื่ออยู่กับผู้ที่ไม่ใช่สมาชิกในครอบครัวก็ต้องปกปิดร่างกายด้วยฮิญาบแต่ระหว่างสตรีด้วยกันก็เปิดเผยได้ตามปกติทั่วไปค่ะ ^^
 
ขอบคุณข้อมูล ทําไมมุสลิมต้องคลุมฮิญาบ จาก : annisaa.comhttp://islamhouse.muslimthaipost.com/main/index.php?page=sub&category=71&id=19119

เสื้อสตรีมุสลิม ชุดแต่งกายมุสลิมะห์ ตามหลักอิสลาม

เสื้อสตรีมุสลิม ชุดเครื่องแต่งการมุสลิมะห์ตามหลักอิสลาม
เสื้อผ้า เครื่องแต่งกายสตรีมุสลิมการปกปิดอวัยวะพึงสงวน  (เอาเราะฮฺ)  สำหรับสตรีมุสลิมะฮฺนั้นถือเป็นสิ่งจำเป็น  (วาญิบ)  ตามหลักการของศาสนา  ทั้งนี้เพราะมีบัญญัติเอาไว้ในคัมภีร์อัลกุรอ่านและซุนนะฮฺของท่านนบี  (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)  เมื่อถือเป็นสิ่งจำเป็น  (วาญิบ)  สตรีผู้ที่ปฏิบัติตามหลักการและเงี่อนไขที่ศาสนากำหนดเอาไว้อย่างสมบูรณ์  ก็ย่อมถือเป็นสิ่งที่มีผลบุญสำหรับผู้ปฏิบัตินั้น  ในขณะที่การละทิ้งสิ่งที่จำเป็นนี้  หรือกระทำอย่างบกพร่องไม่สอดคล้องกับหลักการและเงื่อนไขที่ศาสนากำหนดเอาไว้ สตรีผู้นั้นย่อมมีโทษมีบาป
บรรดาปวงปราชญ์ส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่าการปกปิดอวัยวะพึงสงวน  (เอาเราะฮฺ)  สำหรับสตรีมุสลิม ที่บรรลุศาสนภาวะแล้วนั้นคือการปกปิดร่างกายของนางทั้งหมดโดยอนุโลมให้เปิดเผยได้เฉพาะในส่วนของใบหน้าและฝ่ามือทั้งสองเท่านั้น  ทั้งนี้ในกรณีอยู่ต่อหน้าบุคคลที่มิใช่ผู้ที่ห้ามแต่งงานด้วย  (มะฮฺร็อม)  การปกปิดร่างกายจึงมิได้หมายถึงการคลุมผมด้วยผ้าฮิญาบเท่านั้นแต่ะจะต้องปกปิดเรือนร่างในส่วนอื่นที่เป็นเอาเราะฮฺด้วย  เช่น  แขนทั้งสองข้าง  ขาและเท้า  เป็นต้น  และชุดแต่งกายของมุสลิม นั้นต้องเป็นชุดที่ปกปิดสีผิวของเนื้อหนังมังสาและไม่เผยให้เห็นรูปทรงส่วนเว้าส่วนโค้งของเรือนร่าง  กล่าวคือ เสื้อผ้าสตรีมุสลิม ต้องไม่ฟิตไม่รัดรูป  ตลอดจนสีสันของชุดแต่งกายก็ไม่ควรมีสีสันฉูดฉาดจนเป็นที่ดึงดูดและสนใจสำหรับเพศตรงกันข้าม  นี่คือหลักการพื้นฐานในการแต่งกายและการปกปิดอวัยวะพึงสงวนสำหรับสตรีมุสลิม
ซึ่งเมื่อนางได้ปกปิดเรือนร่างของนางอย่างมิดชิดตามที่ศาสนากำหนด  นางก็จะไม่ตกเป็นเป้าทางสายตาที่หื่นจากผู้ชายที่หมกมุ่นในเรื่องทางเพศ  ไม่ตกเป็นเหยื่อของการคุกคามและการล่วงละเมิดทางเพศอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้  อีกทั้งการปกปิดเรือนร่างอย่างมิดชิดยังเป็นการรักษาไว้ซึ่งศักดิ์ศรีและเกียรติยศของเพศหญิงที่ใครจะมาล่วงละเมิดมิได้  กอปรกับนักจิตวิทยาได้วิจัยและพบว่าผู้ชายมักคิดสิ่งต่าง ๆ เป็นภาพ  การปกปิดเรือนร่างของสตรีจึงเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม  เป็นการป้องกันมิให้พวกผู้ชายคิดจินตนาการภาพเบื้องหน้าที่เห็นไปตามอารมณ์ซึ่งมักจะก่อให้เกิดอารมณ์กำหนัดทางเพศตามมา
สตรีมุสลิม มุสลิมมะฮฺ ที่ปกปิดเรือนร่างของนางอย่างมิดชิดจึงเป็นสตรีที่รักตัวเองและคำนึงถึงเกียรติยศและศักดิ์ศรีของนาง  ตลอดจนมีคุณค่าและไม่ตกเป็นของเล่นหรือเหยื่อทางอารมณ์ของผู้ชาย  ดังนั้นการปกปิดเอาเราะฮฺเพียงบางส่วน  หรือการคลุมฮิญาบแต่ใส่เสื้อแขนสั้น  หรือคลุมฮิญาบแล้วใส่กระโปรงยาวแต่ผ่าขึ้นมาจนถึงน่องหรือหัวเข่า  หรือ  สวมฮิญาบแต่ใส่ชุดแต่งกายที่ฟิตและรัดรูปเห็นบั้นท้าย  เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งของร่างกาย  หรือ  ปกปิดร่างกายด้วยเสื้อผ้าที่บางจนเห็นสีผิว  เป็นต้น
ทั้งหมดที่ว่ามานี้เป็นการปกปิดเรือนร่างที่ยังบกพร่องและไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่ศาสนากำหนดเอาไว้  มุสลิมะฮฺที่แต่งกายดังที่ว่ามาคงจัดอยู่ในประเภทที่ “เกือบจะดี”  แต่  “ยังไม่ดีพอ” ฉะนั้นเมื่อจะแต่งกายตามแบบฉบับของมุสลิมะฮฺที่ดีก็ต้องมีความพิถีพิถันและให้ความใส่ใจในองค์ประกอบของการแต่งกายตามหลักการของศาสนาให้ครบถ้วน  เพราะถ้ากระทำไม่ครบถ้วนตามหลักการก็ย่อมถือว่าบกพร่องและจะมีบาปเกิดขึ้นได้  การแต่งกายอย่างมิดชิดตามหลักการของศาสนามิใช่เรื่องยาก  ไม่ใช่เรื่องลำบากแต่อย่างใดเลย  และก็สวยงามดูดีอีกด้วย  ส่วนการแต่งกายตามแฟชั่น  ตามความนิยมในสังคม  หรือตามประเพณีที่เคยชิน  เช่น  คลุมฮิญาบแต่ใส่เสื้อแขนสั้น  นุ่งกางเกงฟิตเปรี๊ยะ  เป็นสิ่งที่ลำบากยิ่งกว่า  เพราะเอาอารมณ์  ความรู้สึก  และสายตาของผู้คนเป็นเกณฑ์  ซึ่งหาที่สุดมิได้  หาความพอดีได้ยาก  แต่ถ้าแต่งกายตามหลักการของศาสนาก็จะเป็นที่พอใจทั้งสายตาของมนุษย์และในสายพระเนตรของพระองค์อัลลอฮฺ  (ซ.บ.)  เรียกได้ว่า  มีแต่ดีกับดี  ไม่มีเสีย  ลองคิดดู!
 
รูปตัวอย่างรูปแบบเครื่องแต่งกายมุสลิมะฮิ เสื้อสตรีมุสลิม
 
               
 
แหล่งข้อมูล : alisuasaming.com
ขอขอบคุณ เสื้อสตรีมุสลิมจาก :thehalalexpress.com